ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด กับ TEI: "Rain Bomb" หรือ "ระเบิดฝน" เป็นปรากฏการณ์ที่กำลังสร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก ภัยพิบัติจากสภาพอากาศแปรปรวน สุดขั้วที่เปรียบเสมือน "สึนามิจากฟากฟ้า" ซึ่งทวีความรุนแรงและถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและไม่สามารถคาดการณ์ได้

Rain Bomb คืออะไร และเกิดจากอะไร ?
Rain Bomb หรือ ระเบิดฝน คือปรากฏการณ์ที่ฝนไม่ได้ตกต่อเนื่องตามฤดูกาลแบบที่เราคุ้นเคย แต่กลับ "ถล่ม" ลงมาในคราวเดียวอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นผลกระทบที่น่าตกใจจาก 'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ' (Climate Change) หรือ โลกเดือด ที่ทำให้อากาศมีความชื้นสูงขึ้นและมีมวลน้ำเพิ่มขึ้น เมื่อมวลน้ำมหาศาลตกลงมาจึงรุนแรงกว่าปกติ ดร.ภาณุ ตรัยเวช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ จากคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ อธิบายไว้ว่าว่า ในทางเทคนิค Rain Bomb มีชื่อเรียกทางการว่า Downdraft (ดาวน์ดราฟต์) หรือ Microburst (ไมโครเบิร์ส) ซึ่งหมายถึง กระแสอากาศที่ไหลลงสู่พื้นอย่างรุนแรง แล้วแผ่ออกจากศูนย์กลางในแนวราบ
Rain Bomb ส่งผลกระทบอย่างไร?
ความรุนแรงของ Rain Bomb คือปริมาณฝนที่มหาศาล (อาจสูงถึง 200-400 มิลลิเมตร) ที่ตกลงมาในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก
จุดที่อันตรายที่สุดคือ ยากต่อการคาดการณ์ล่วงหน้า ทำให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือได้ยาก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
- ในประเทศไทย เราเห็นตัวอย่างชัดเจนจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือ (เชียงราย เชียงใหม่)และพื้นที่ภาคใต้ (ชุมพร, ระนอง ฯลฯ) เมื่อปี 2567 ที่ส่งผลกระทบกว่า 43,595 ครัวเรือน รวมถึงปัญหาน้ำท่วมขังเฉียบพลันในเขตเมืองอย่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ ที่ระบบระบายน้ำไม่สามารถรองรับได้ทัน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและการจราจรอย่างมาก
- ทั่วโลก ที่แคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน เพิ่งเผชิญเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี มีผู้เสียชีวิตกว่า 65 ราย ขณะที่รายงาน Climate Risk Index 2025 ยืนยันว่า ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว (โดยเฉพาะน้ำท่วม) ได้ส่งผลกระทบต่อประชากรโลกกว่า 765,000 คน (ในช่วงปี 1993-2022) และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและเศรษฐกิจมหาศาล
ถึงเวลา ‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’ จาก Rain Bomb ภัยพิบัติยุคโลกเดือด?
.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ตระหนักถึงปัญหา "ระเบิดฝน" (Rain Bomb) เพราะนี่คือสัญญาณเตือนว่า "รูปแบบฝนแบบเก่าได้สิ้นสุดลงแล้ว" และเราทุกคน จำเป็นต้องรู้ถึงความเสี่ยงจากฟ้า ทางรอดเดียวของเราคือการ ‘ปรับตัว’ หรือ Climate Adaptation เพื่ออยู่กับความผันผวนสภาพอากาศสุดขั้วที่กำลังจะมาถึงและอาจสร้างความเสียหายรุนแรง... จึงขอเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการสื่อสารประเด็น Climate Adaptation เพื่อประโยชน์สาธารณะ"
TEI จึงขอแนะนำแนวทาง การปรับตัวใน ระดับบุคคล ระบบเมือง และระดับประเทศ ให้รู้เท่าทันความเสี่ยงของ Rain Bomb ดังนี้
- ระดับบุคคล
- ติดตามข่าวสารและประกาศเตือนภัยและพยากรณ์ภูมิอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับฝนตกหนักฉับพลันและน้ำท่วม
- มีแผนเตรียมอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม เช่น อุปกรณ์ป้องกันน้ำเข้าในบ้าน กระสอบทราย และระบบตัดไฟอัตโนมัติในบ้าน
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา หรือสิ่งปลูกสร้างที่อาจพังได้ในช่วงเกิดลมแรงและฝนตกหนัก
- ทำความเข้าใจสัญญาณเตือนเบื้องต้นของ Rain Bomb เช่น อากาศร้อน อบอ้าว มีเมฆฝนก้อนใหญ่และมีลมเย็นพัดมาปะทะอย่างรวดเร็ว เพื่อหาที่หลบภัยทันที
- ระดับเมือง (ชุมชน/องค์กรท้องถิ่น)
- มีแผนพัฒนาระบบระบายน้ำในเมืองและชุมชนให้สามารถรองรับฝนตกหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ เช่น ระบบบ่อพักน้ำและท่อระบายน้ำขนาดใหญ่
- มีแผนส่งเสริมการใช้โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Green Infrastructure) เช่น การสร้างสวนหย่อม พื้นที่ซับน้ำ และหลังคาสีเขียว เพื่อลดปริมาณน้ำไหลบ่าเข้าท่อระบายน้ำ
- จัดทำแผนรับมือและอบรมประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน ให้พร้อมรับมือและลดความเสียหายเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง
- มีแผนสร้างการมีร่วม ภาครัฐและภาคเอกชนในโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและลดโลกร้อน
- ระดับประเทศ
- มีแผนพัฒนาและปรับปรุงนโยบายบริหารจัดการน้ำและการวางผังเมืองรวมที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การควบคุมการใช้ที่ดินในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าที่มีความแม่นยำสูง
- สนับสนุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการพยากรณ์อากาศ การตรวจจับสัญญาณฝนหนัก และระบบพยากรณ์เตือนภัยที่ทันสมัย
- ผลักดันนโยบายและดำเนินลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินมาตรการป้องกันภาวะโลกร้อนในระดับชาติและภูมิภาค โดยยึดหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ขอเน้นย้ำว่า การรับมือกับ Rain Bomb ในยุคเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบสุดขั้ว ไม่ใช่ ทางเลือก แต่เป็นทางรอด เพราะนี่คือก้าวแรกของการป้องกัน ตามหลัก
'ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด' เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมไทยให้ปลอดภัยจากผลกระทบของ Climate Change อย่างยั่งยืน
Share: