เลือกใช้ซ้ำ เลิกใช้แล้วทิ้ง จะเป็นจริงได้มั้ย ?

      ในแต่ละวันเราไปตลาด ซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย หรือแวะร้านกาแฟระหว่างทางกลับบ้าน ลองสังเกตดูสิ ในหนึ่งวันเราได้รับถุงพลาสติก กล่องโฟม หลอด และแก้วน้ำพลาสติกกี่ชิ้น?
สิ่งเหล่านี้ใช้แค่ไม่กี่นาที แต่ใช้เวลานับหลายร้อยปีในการย่อยสลาย !!!
     
      ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2567 ชี้ว่า ขยะพลาสติกคิดเป็น 11-12% ของขยะมูลฝอยในประเทศไทย และส่วนใหญ่ถูกจัดการด้วยวิธีการฝังกลบ บางส่วนถูกจัดการไม่ถูกวิธีทำให้หลุดรอดสู่แม่น้ำ ทะเล และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อระบบนิเวศ แต่ยังย้อนกลับมาสู่เราในรูปแบบไมโครพลาสติกปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม



ทำไมเรายังใช้พลาสติกแล้วทิ้ง ?
      แม้สังคมไทยในวันนี้จะมีความตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติกมากขึ้น แต่ความสะดวกและราคาถูกของพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ยังคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฝังรากอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของเรา ผลสำรวจผู้บริโภค 1,200 คนทั่วประเทศ เมื่อปี 2567 โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI พบว่าพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่เรามักใช้บ่อยที่สุดคือ ถุงหูหิ้วแบบบาง กล่องโฟม แก้วพลาสติกแบบบาง และหลอดพลาสติก

      แม้ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น พกถุงผ้า พกแก้วน้ำส่วนตัวเวลาไปซื้อเครื่องดื่ม หรือภาชนะที่สามารถใช้ซ้ำได้ แต่ร้านค้าส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาในการจัดเตรียมสินค้า สามารถตักขายล่วงหน้าได้สะดวก และมีต้นทุนต่ำกว่าบรรจุภัณฑ์ทางเลือกอื่น ๆ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคบางส่วนยังคงคุ้นชินกับการใช้กล่องโฟม รับถุงหูหิ้ว หรือหลอดพลาสติก จนกลายเป็นพฤติกรรมปกติที่แทบไม่ต้องคิดก่อนเลือกใช้



      จากผลสำรวจเดียวกัน พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนมากสะท้อนอุปสรรคที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยไม่เอื้อต่อการเก็บและคัดแยกขยะ ความรู้สึกว่าการล้างและคัดแยกขยะเพื่อการรีไซเคิลเป็นเรื่องยุ่งยาก ความกังวลว่าขยะที่แยกแล้วอาจถูกนำไปรวมกันอีกครั้ง หรือแม้แต่ภาระในการนำไปส่งที่จุดรวบรวม

      ความหวังตอนนี้ อยู่ที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 21.6% ที่พร้อมช่วยแก้ปัญหาของประเทศ และ 16.6% ที่ต้องการปกป้องสิ่งแวดล้อม 14.6% อยากสร้างรายได้ให้กับผู้ด้อยโอกาส ส่วนที่เหลือ 47.2% ต้องมีสิ่งจูงใจและการสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ

เรียนรู้จากทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือก
      TEI ได้ทดลองให้ผู้ประกอบการในตลาดสด ร้านค้าปลีก และร้านขายของชำ รวมถึงผู้บริโภค ใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากกระดาษ ชานอ้อย และพลาสติกย่อยสลายได้ เพื่อลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ผลการทดลองสะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่

  • ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งชื่นชอบบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ และรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมปกป้องสิ่งแวดล้อม
  • ร้านค้าบางส่วนพบปัญหา เช่น ความทนทานไม่เพียงพอเมื่อใช้กับอาหารร้อนหรือมัน และ ราคาสูงกว่าพลาสติกเล็กน้อย ทำให้บางคนยังลังเลที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมทันที
  • ร้านค้าหลายแห่งยอมรับว่า หากได้รับการสนับสนุนด้านต้นทุน เช่น ส่วนลดภาษี หรือ การสื่อสารกับลูกค้า จะช่วยให้การเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือกเป็นไปได้จริง
      การทดลองครั้งนี้ จึงเป็นข้อมูลชิ้นสำคัญที่บอกกับเราว่า แม้ทางเลือกจะยังไม่แพร่หลายหรือสมบูรณ์แบบนัก แต่หากได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และมีความร่วมมือพร้อมการสนับสนุนที่เหมาะสม ก็มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “ทางเลือกหลัก” ของผู้บริโภคได้ในอนาคต ทำให้การเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ไม่ใช่ความฝันที่ไกลเกินเอื้อม



คิดเชิงระบบ ประเมินครบวงจร   
      การประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA) โดย TEI ได้เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (ถุงหูหิ้วแบบบาง กล่องโฟม แก้วพลาสติกแบบบาง และหลอดพลาสติก) กับผลิตภัณฑ์ทางเลือก (ถุง กล่อง หลอด ที่ทำจากกระดาษ กล่องชานอ้อย และพลาสติกชีวภาพ) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
  • การได้มาของวัตถุดิบ: พลาสติกทั่วไปได้มาจากน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลัก ทำให้มีการใช้ทรัพยากรฟอสซิลสูง และในหลายกรณีปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าวัสดุชีวภาพหรือวัสดุทางการเกษตร
  • การผลิต: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับน้ำหนักวัตถุดิบ การสูญเสียระหว่างผลิต และค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซของแต่ละวัตถุดิบที่มีค่าแตกต่างกัน
  • การใช้งาน: พลาสติกมีความแข็งแรงและกันน้ำได้ดี ทำให้เหมาะกับอาหารร้อนหรือมีความมัน แต่ข้อดีนี้ทำให้มันยากต่อการย่อยสลายและสร้างปัญหาขยะพลาสติกระยะยาว
  • ปลายทางหลังใช้งาน: หากรีไซเคิลอย่างเหมาะสม พลาสติกสามารถกลับมาเป็นวัตถุดิบใหม่ได้ แต่ในความเป็นจริงอัตราการรีไซเคิลยังต่ำและพลาสติกส่วนใหญ่ถูกฝังกลบ บางส่วนรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม ในขณะที่วัสดุย่อยสลายได้สามารถช่วยลดภาระในขั้นตอนนี้ได้หากได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
      การประเมิน LCA ชี้ว่าผลิตภัณฑ์ทางเลือกสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ หากมีระบบจัดการที่เหมาะสม เช่น การเก็บรวบรวมและย่อยสลายตามเงื่อนไขที่เหมาะสม แต่หากจัดการไม่ดี ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจใกล้เคียงกับพลาสติกทั่วไป
      พลาสติกแม้จะมีข้อดีด้านการใช้งาน แต่ก็สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมสูงหากขาดระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่วัสดุทดแทนสามารถช่วยลดผลกระทบได้จริง จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และปรับพฤติกรรมผู้บริโภคร่วมกัน เพื่อให้ทางเลือกเหล่านี้เกิดประโยชน์และไม่กลายเป็นปัญหาใหม่



ทางเลือกของสังคมไทย ควรทำอย่างไรกับพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว

จากผลการศึกษาโครงการฯ TEI ได้เสนอ 6 ทางเลือกสำหรับลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ได้แก่
  1. จำกัดการใช้ถุงพลาสติกแบบบาง เริ่มใช้มาตรการห้ามในบางสถานที่ เช่น โรงพยาบาลและสถาบันในสังกัดกรมการแพทย์แล้วประสบความสำเร็จ ควรขยายผลไปยังสหกรณ์ ร้านค้าในหน่วยงานรัฐ สถานศึกษา สนามบิน ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าขนาดเล็ก โดยต้องทำอย่างพร้อมเพรียงและเป็นขั้นตอน
  2. จำกัดการใช้แก้วพลาสติกแบบบางและหลอดพลาสติก เริ่มบังคับใช้ในสถานที่ราชการ สถานศึกษา สนามบิน ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วขยายไปยังร้านสะดวกซื้อและร้านค้าขนาดเล็ก พร้อมความร่วมมือจากผู้ประกอบการและผู้บริหารหน่วยงาน
  3. ยกเลิกการผลิตกล่องโฟมสำหรับบรรจุอาหาร เนื่องจากเมื่อสัมผัสอาหารร้อน กล่องโฟมอาจปล่อยสารสไตรีนซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติและก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
  4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใช้ซ้ำ โดยเลือกให้เหมาะสมกับประเภทสินค้า และทำความสะอาดก่อนนำกลับมาใช้ซ้ำ เช่น ถุงผ้า ถุงกระดาษ ตะกร้า แก้วน้ำ กระบอกน้ำส่วนตัว และกล่องข้าว เป็นต้น
  5. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลได้ ส่งเสริมการเก็บรวบรวมพลาสติกที่รีไซเคิลได้ เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ โดยต้องมีระบบเก็บที่เหมาะสมและแสดงตราสัญลักษณ์ประเภทพลาสติกให้ชัดเจน
  6. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เช่น ผลิตภัณฑ์จากวัสดุทางการเกษตรหรือพลาสติกชีวภาพ โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม แสดงตราสัญลักษณ์การย่อยสลายได้ และจัดระบบเก็บรวบรวมพร้อมกำจัดซากผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดขยะเพิ่มขึ้น



      แม้ความพยายามของผู้บริโภคมีความสำคัญ แต่โครงสร้างสนับสนุนระดับประเทศ ยังคงเป็นหัวใจของการจัดการขยะพลาสติก ประเทศไทยมี Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561–2573 ซึ่งตั้งเป้าลดและเลิกใช้พลาสติกเป้าหมายหลายชนิด ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบบาง แก้วพลาสติกแบบบาง กล่องโฟม และหลอดพลาสติก พร้อมตั้งเป้ารีไซเคิลขยะพลาสติกให้ได้ 100% ภายในปี 2570 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมการผลิตและจำกัดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว 

      ในต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป บางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการออกข้อบังคับเข้มงวด ทั้งการเก็บภาษีถุงพลาสติกและการบังคับใช้วัสดุทดแทน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไทยสามารถเรียนรู้ได้ การผลักดันกฎหมาย การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ พร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่นในระบบจัดการขยะ จะช่วยให้การลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวเป็นจริงได้ โดยไม่ใช่เรื่องยากเกินไป  
 
เรียบเรียงโดย ศิรินทร์ทิพย์ บุญยวง นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
สรุปจาก โครงการศึกษาวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ทดแทนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และเสนอกลไกการขับเคลื่อนตาม Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของประเทศ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ขอบคุณข้อมูลจาก: TEI

เรียบเรียงโดย:

ศิรินทร์ทิพย์ บุญยวง

นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย

Tags:
บทความเกี่ยวข้อง: