เมือง(ไม่)รู้ร้อนรู้หนาว กับ ชุนชนจบเมือง ในยุคโลกเดือด

25-27 มิถุนายน 2567  สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI นำโดยดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการโครงการ และโครงการ SUCCESS สนับสนุนโดยสหภาพยุโรป นำโดย ดร.ผกามาศ ถิ่นพังงา ผู้อำนวยการโครงการร่วมกับ ศ. ดร.บัวพันธ์ พรหมพักพิง ศูนย์ประชาสังคมและการจัดการองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ คุณชาคริต โภชะเรือง มูลนิธิชุมชนสงขลา Dr.Aarts Han Maastricht University และคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับชาติ ได้แก่ ดร.จำเนียร วรรัตน์ชัยพันธ์ และรศ. ดร.ยรรยงค์ อินทร์ม่วง ได้ร่วมจัดประชุม  “เมือง(ไม่)รู้ร้อนรู้หนาว กับ ชุนชนเมือง ในยุคโลกเดือด” แนวทางนำสู่ การเตรียมความพร้อม รับมือ ปรับตัว อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม (People-centred urban climate resilience and adaptation) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดการบูรณาการแนวปฏิบัติและแนวทางในการจัดการผลกระทบ ความเปราะบาง และการรับมือเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการพัฒนาเมืองและสังคมที่เป็นธรรม เข้าสู่การวางแผนระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อสาธารณะ รวมถึงคณะทำงานโครงการนำร่อง 12 พื้นที่ศึกษาใน 2 ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคใต้ จำนวน 6 เมือง ได้แก่ เมืองควนลัง เมืองพะตง เมืองบ่อยาง เมืองปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา เมืองโตนดด้วน จังหวัดพัทลุง เมืองละงู จังหวัดสตูล และภาคอีสาน จำนวน 6 เมือง ได้แก่ เมืองขอนแก่น เมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมืองหนองสำโรง เมืองสามพร้าว จังหวัดอุดรธานี เมืองสระใคร และเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย

25 มิถุนายน 2567 ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยบรรยายพิเศษหัวข้อ “มุมมองสถานการณ์ระดับประเทศ – การเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย” โดยตอกย้ำวการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติของโลกที่เกินขีดจำกัดในปัจจุบัน นำมาซึ่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมนุษยชาติ หากทุกภาคส่วนไม่ร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจัง ในอีก 10 ปีข้างหน้าโลกเราจะเผชิญกับความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด 4 อันดับคือ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งจากความล้มเหลวในการลดก๊าซเรือนกระจก ความล้มเหลวในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติและสภาพอากาศสุดขั้ว รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ นอกจากนี้ยังได้ให้มุมมองภาพรวมการเดินหน้าของประเทศไทยในการเตรียมพร้อม ทั้งการประกาศเจตนารมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ 40% ภายในปี 2030 รวมถึงการจัดตั้งกรมโลกร้อน หรือกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยมีหน่วยรองรับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน ท้ายสุดได้เน้นย้ำความสำคัญของการแก้ปัญหาโดยใช้ระบบนิเวศเป็นฐาน และสำหรับประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน จำเป็นต้องดำเนินการต่อเพื่อให้เกิดสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ทางดร.วิจารย์ สิมาฉายา ยังได้เป็นตัวแทนในการส่งมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อนำสู่ปฏิบัติการเตรียมความพร้อม ปรับตัว รับมือ ของชุมชนและเมือง ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม โดยประชาชนและระบบนิเวศเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้จากการดำเนินโครงการ “ประชาสังคมร่วมแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงเมือง” สนับสนุนโดยสหภาพยุโรป เพื่อแสดงเจตนารมณ์ความร่วมมือในการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งเพื่อให้เกิดการเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มคนชายขอบ กลุ่มคนยากจน กลุ่มคนเปราะบางและกลุ่มผู้หญิง เพื่อให้นำไปสู่การปรับแนวทางการพัฒนาเมืองอย่างครอบคลุมคนทุกระดับอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน รวมถึงการสนับสนุนความเป็นผู้นำให้กับภาคประชาสังคมท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมกับชุมชนและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ และเป็นการพัฒนายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมของเมืองและแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศโดยชุมชน 

สำหรับวันนี้ ประกอบด้วย 2 เวทีเสวนาสำคัญ ที่เน้นหนุนเสริม และตอกย้ำความสำคัญของการเตรียมความพร้อม รับมือ ปรับตัวของชุมชนเมือง จากผลกระทบจากการพัฒนาเมืองที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ประกอบด้วย

เวทีเสวนา “ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อน” โดยร่วมสะท้อนมุมมองมิติทางสังคมในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ขาดหายไป และมุมมองของความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ให้ความสำคัญกับ “คน และ ชุมชน” เป็นศูนย์กลาง โดยเกริ่นนำประเด็น มิติทางสังคมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ดร.ผกามาศ ถิ่นพังงา ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วยคุณสมถวิล พิมพิทักษ์ ตัวแทนชุมชน คุณปิยนันท์ ผิวนวล ตัวแทนชุมชนบ่อยาง คุณเกศินี แกว่นแก้ว มูลนิธิการพัฒนาที่ยั่งยืน (เพศ/บทบาทสตรี) คุณสาคร สงมา Climate Watch Thailand (ชุมชนเกษตรกร) และดร.อภิสม อินทรลาวัณย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ชุมชนริมโขง) โดยผู้ดำเนินเวทีเสวนา ได้แก่นายทนงศักดิ์ จันทร์ทอง มูลนิธิท้องถิ่นพัฒนา และ Thai Climate Justice for All ทั้งนี้ได้มีการร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางและความท้าทายในการสนับสนุนชุมชนเปราะบางจาก กองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 6 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองคาย เทศบาลนครขอนแก่น และสื่อสาธารณะ City Cracker

เวทีเสวนา “เมืองกับการปรับตัว (climate adaptation)” และ “การปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศเป็นฐาน (ecosystem-based adaptation)” เพื่อร่วมเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเมือง และความเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาเมืองกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมืองยิ่งโตเร็วยิ่งเปราะบาง และจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัว และต้องปรับตัวให้อยู่บนฐานระบบนิเวศที่เอื้อและเกื้อหนุนสิ่งมีชีวิต ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย คุณรัชณี บุญสกันท์ แกนนำโครงการนำร่องเมืองพะตง คุณกัลยทรรศน์ ติ้งหวัง แกนนำโครงการนำร่องเมืองละงู ดร.ดนัย ทายตะคุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.พิชัย เอื้อมธุรพจน์ กลุ่มมาดีอีสาน ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ดำเนินเวทีเสวนา อาจารย์พูนสมบัติ นามหล้า มูลนิธิชุมชนอีสาน และร่วมแลกเปลี่ยน แนวทางพัฒนาเมืองที่สร้างความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ Thai PBS โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดขอนแก่น สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 6 ขอนแก่น และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง